หลังเกมที่ อาร์เซนอล พ่าย ลิเวอร์พูล 2-0 ในบ้านตัวเอง เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ แต่สำหรับผู้เขียนในฐานะแฟนบอลอาร์เซนอล “ความโกรธ” ไม่ได้รวมอยู่ในอารมณ์เหล่านั้นด้วย หลังสิ้นเสียงนกหวีดยาว
สองประตูจาก ดิโอโก้ โจต้า และ โรเบร์โต้ ฟีร์มิโน่ สอนเหล่า “ยังกันส์” และทำให้คนทั้งโลกเห็นว่า ทำไมพวกเขาถึงลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีก ในช่วหลายปีที่ผ่านมา นี่คือยุคทองของลิเวอร์พูล ที่ผมเชื่อว่า 2-3 ปีต่อจากนี้ก็ยังคงจะเป็นเช่นนั้นต่อไปแน่นอน เคียงข้างกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ลุ้นเบียดแย่งแชมป์กันทุกปี
ที่เหลือคือหน้าที่ของสโมสรอื่น ๆ ไม่ว่าจะทีมใหญ่ เคยใหญ่ หรือว่าหน้าใหม่ ทำอย่างไรให้ พรีเมียร์ ลีก ไม่เหมือนบอลสกอตแลนด์ ที่ลุ้นกันแค่สองสโมสร
อาร์เซนอล คือหนึ่งในทีมที่อยากไปให้ถึงจุดนั้นอีกครั้ง จุดที่เคยเป็นยืนมาแล้วเมื่อ 18 ปีก่อน
เกมนี้ อาร์เซนอล จัดทัพใหญ่ที่สุดเท่าที่ทำได้ขาดเพียง ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ คนเดียวที่บาดเจ็บ ส่วน ลิเวอร์พูล ก็ไม่ได้น้อยกว่ากัน แม้ว่า โม ซาลาห์ จะนั่งสำรอง แต่ ดิโอโก้ โจต้า ก็ลงมาอีกครั้ง รายนี้ตัวแสบสำหรับ อาร์เซนอล และเกมนี้ก็ยังคงตอกย้ำความแสบทรวงด้วยหนึ่งประตูสำคัญ
45 นาทีแรก เป็นเกมที่เต็มไปด้วยแท็คติกการเล่น อาร์เซนอล มีการเปลี่ยนแปลงชัดเจนระบบ 4-2-3-1 กลับมาอีกครั้ง หลังจากเกมก่อนเลือกระบบ 4-1-4-1 ในตอนออกสตาร์ต
เกมครึ่งแรก หากไม่นับช่วง 5 นาทีแรกของเขาที่ ลิเวอร์พูล ได้มีโอกาสเข้าทำ 1-2 ครั้ง ที่เหลือคือการเล่นบอลกันด้วย ไหวพริบ การเอาตัวรอด และความเข้าอกเข้าใจในเกมของทั้งสองฝ่าย ลิเวอร์พูล เล่นบีบพื้นที่ เพรสซิ่งสูง สลับการให้แบ็คที่วางบอลแม่น ๆ เติมเกมดีทั้ง โรเบิร์ตสัน และ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ สลับวางบอลข้ามแนวรับบ้าง ส่วนอาร์เซนอล ปรับการเล่นเกมรับมาเป็น 4-4-2 เออเดการ์ด ยืนเหมือนกองหน้ากับ ลากาแซตต์ ได้บอลแล้ว เซตเกมหาโอกาสสวนกลับ ซึ่งก็ทำได้ดีในช่วงเวลาของตนเอง ลิเวอร์พูล อาจจะครอบงบอลได้มากกว่า แต่การจบด้วยการยิงก็มีน้อย
การแข่งขันที่มีความสูสีกันทุกเกม สิ่งที่จะตัดสินเกมได้ และน่ากังวลที่สุดคือ ความผิดพลาดส่วนตัว ของผู้เล่น (Personal Error) ที่จะทำให้ระบบรวน และเกมนี้มันก็เกิดขึ้นอย่างน้อย 3 ครั้งที่น่าจะเป็นประตูในครึ่งหลัง ซึ่งจบลงด้วยสองประตูของลิเวอร์พูล และหนึ่งการพลาดโอกาสของอาร์เซนอล โดยมีตัวละครที่ชื่อว่า ติอาโก้ อัลคันทารา มีส่วนถึงสองครั้ง
ครั้งแรกเกิดจากความผิดพลาดของกองกลางสเปน ออกบอลพลาดโดน ลากาแซตต์ ตัดบอลในเขตโทษไว้ก่อนผ่านบอลให้ เออเดการ์ด ได้ยิงเน้น ๆ ติดแขนของ อลิสซอน เบคเกอร์ หลุดกรอบออกหลังไป ลิเวอร์พูล รอดตัว แต่สำหรับ “Personal Error” ครั้งที่สองของเกมนี้รุนแรงกว่าเพราะเกิดประตู
หลังจากรอดเสียประตู ในจังหวะเซตเกมรุก ติอาโก้ ตาไวมากกับการเห็นการยืนห่างกันระหว่าง เซดริก โซอาเรส และ เบน ไวท์ เพียงนิดเดียว เขาแทงบอลทะลุช่องผ่านสามผู้เล่นอาร์เซนอล ให้กับ ดิโอโก้ โจต้า ที่วิ่งฝ่ากลางสองแนวรับปืนใหญ่ หลุดเข้าไปยิงประตูเบียดเสาแรกเข้าไป
ประตูนี้ เซดริก พะวงกับตัวริมเส้นของลิเวอร์พูลเพียงชั่วครู่ กลายเป็นช่องว่างที่ทำให้โดนลงโทษทันที แต่ที่พังกว่านั้นคือ อารอน แรมสเดล ที่ยืนปิดเสาแรกไม่มิดพอ ถูกกองหน้าโปรตุเกสยัดเสาแรกเข้าให้ ลูกนี้นายด่านอังกฤษถึงกับผิดหวังในตนเองกับการโดนยัดเสาแรกที่เขาคือผู้รับผิดชอบ 100 % เข้าไปได้ และประตูนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเกมทันที
การเสียประตูในเกมสำคัญแบบนี้ ส่งผลต่อสภาพจิตใจอย่างมาก อาร์เซนอล พยายามบุกกลับตั้งเกมให้ได้ แต่ คล็อปป์ แอนด์ เดอะแก๊งค์ ก็ไม่ยอมให้ปืนใหญ่มีโอกาส การเปลี่ยนตัว โม ซาลาห์ และ ฟีร์มิโน่ ลงมา นอกจากจะสลับเกมรุกที่เน้นความเร็วทั้ง หลุยส์ ดิอาซ และ โจต้าแล้ว ยังมีเรื่องของเทคนิค ความแน่นอน ปนอยู่ในนั้นด้วย พวกเขากดดันต่อเนื่องอยู่นานนับนาทีจนได้ประตูที่สอง
ประตูที่ “Personal Error” ครั้งที่สามของเกม และมันคือการผิดพลาดซ้ำซ้อนของ กาเบรียล มากัญเยส แนวรับปืนใหญ่ที่พลาดถึงสองครั้งติดกันในจังหวะนี้ เริ่มต้นจากการที่เขาคิดช้าทำช้าเมื่อได้บอลในเขตโทษตัวเอง โดนแย่งบอลจากเท้า และทำให้ลิเวอร์พูลได้บุกฉับพลันในเขตโทษอาร์เซนอล แม้จะไม่เป็นประตู แต่ก็ส่งผลให้เกิดจังหวะตามมานั่นคือ การที่ บูคาโย่ ซาก้า พยายามเคลียร์บอลแต่ติดบล็อกของ โรเบิร์ตสัน ที่เติมเกมขึ้นมาได้หลุดไปถึงสุดเส้น ก่อนผ่านบอลให้ ฟีร์มิโน่ วิ่งแซงตัดหน้ากาเบรียลที่รับหน้าที่ประกบเข้าไปดีดด้วยข้างเท้าด้านนอกไหลเข้าประตูไป ลูกนี้คือความผิดพลาดที่ทำให้เกมนี้แทบจะจบลงทันที และมันก็เป็นเช่นนั้นหลังจบ 90 นาที